Google Ads หรือโฆษณาในกูเกิ้ล ถูกใช้โดยเว็บไซต์และบริษัทหลายล้านแห่งเพื่อขายผลิตภัณฑ์และบริการ, โปรโมทแคมเปญและเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์แม้ว่า Google Ads จะยังคงเป็นรูปแบบการโฆษณาออนไลน์ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง แต่ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวจำนวนมหาศาลที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มบ่อยครั้งของ Google ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครๆ ก็ต้องปวดหัว เมื่อคุณสนใจที่จะลงโฆษณาในกูเกิ้ลแล้ว ขอแนะนำสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อนเริ่มใช้งาน 11 ข้อ ดังต่อไปนี้
.
1. Google Ad Campaigns หรือ แคมเปญโฆษณา Google
แคมเปญ Google Ads เป็นที่เก็บกลุ่มโฆษณาของคุณที่ใช้การกำหนดสถานที่เป้าหมาย กำหนดเวลาโฆษณา งบประมาณ และการตั้งค่าอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วแคมเปญจะใช้เพื่อจัดระเบียบผลิตภัณฑ์และบริการประเภทต่างๆ Google อนุญาตให้คุณเลือกระหว่างห้าประเภทแคมเปญที่แยกย่อยด้านล่าง
แคมเปญการค้นหา: โฆษณาแบบข้อความดั้งเดิมที่แสดงบนหน้าผลลัพธ์ของ Google
แคมเปญดิสเพลย์: โฆษณาที่แสดงรูปภาพที่แสดงบนหน้าเว็บต่างๆ ภายในเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google
แคมเปญ Shopping: สำหรับผู้ค้าปลีกที่โปรโมตสินค้าออนไลน์และในพื้นที่ Google จะเชื่อมต่อกับร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณผ่าน Google Merchant Center
แคมเปญวิดีโอ: วิดีโอความยาว 6-15 วินาทีที่ปรากฏบนหน้า YouTube
App Campaign: อนุญาตให้คุณโฆษณาแอพของคุณในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของ Google
.
2. Display Network หรือ เครือข่ายเว็บไซต์ต่างๆ
เครือข่ายเว็บไซต์ของ Google (หรือ GDN) คือเครือข่ายของเว็บไซต์ที่อนุญาตให้แสดงโฆษณา Google บนหน้าเว็บ อาจเป็นโฆษณาแบบข้อความหรือแบบรูปภาพ และแสดงในหน้าเดียวกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดของคุณ
.
3. Conversions หรือ การนับจำนวนเมื่อมีผู้ใช้ดำเนินการ
Conversion ภายในโฆษณา Google เกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ดำเนินการบางอย่างหลังจากคลิกที่โฆษณาของคุณ แม้ว่าการกระทำต่างๆ เช่น การดูหน้าเว็บและการเลื่อนหน้าเว็บจะนับเป็น Conversion ได้ แต่การกระทำเหล่านี้ถือเป็น “Conversion ระดับไมโคร” และไม่ได้บ่งบอกถึงความสำเร็จที่แท้จริงของโฆษณามากนัก ให้เน้นที่ “Conversion ระดับมาโคร” ที่วัดการกระทำที่จับต้องได้ เช่น การซื้อผลิตภัณฑ์ การดาวน์โหลดเอกสาร หรือการกรอกแบบฟอร์มในการขาย เป็นต้น
.
4. Keywords หรือ คีย์เวิร์ด
คีย์เวิร์ดใน Google Ads คือคำหรือวลีที่เลือกให้จับคู่โฆษณาของคุณกับคำที่ผู้ใช้ค้นหา คีย์เวิร์ด แบ่งออกเป็นสามประเภทการทำงานของคีย์เวิร์ดด้านล่าง
คีย์เวิร์ดแบบกว้าง: คีย์เวิร์ดของคุณจะจับคู่คีย์เวิร์ดแบบตรงทั้งหมด รูปแบบที่ใกล้เคียง ตลอดจนหัวข้อที่เกี่ยวข้อง และในลำดับใดๆ
คีย์เวิร์ดแบบตรงทั้งหมด: คีย์เวิร์ดของคุณจับคู่เฉพาะการค้นหาที่ตรงกับคีย์เวิร์ดหรือวลีที่ตรงทั้งหมดของคุณ หรือรูปแบบที่ใกล้เคียงกันมาก และถูกกำหนดด้วยวงเล็บ
คีย์เวิร์ดแบบวลี: คีย์เวิร์ดของคุณจะจับคู่การค้นหาโดยเรียงลำดับคำเหมือนกันทุกประการ แต่สามารถรวมคำที่อยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังได้ และยังจะรวมการค้นหาที่ “เจตนา” เหมือนกันด้วย ตัวอย่างเช่น การค้นหา “ร้านอาหารใกล้ฉัน”
.
5. Ad Extensions หรือ ส่วนขยายโฆษณา
ในการโฆษณาสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม ยิ่งโฆษณามากเท่าไหร่ก็ยิ่งใช้จ่ายมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าใช้งานการใช้ส่วนขยายโฆษณา คุณสามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติมและเพิ่มเอกลักษณ์ในโฆษณาของคุณบนหน้าผลลัพธ์ของ Google แม้ว่าส่วนขยายโฆษณาบางประเภทที่แสดงด้านล่างอาจไม่ได้ใช้ได้กับทุกธุรกิจ แต่คุณควรใช้ให้มากที่สุด เพราะเป็นผลดีกับโฆษณาของคุณเอง
.
6. Bidding Strategies หรือ กลยุทธ์การเสนอราคา
โฆษณาทุกรายการที่สร้างขึ้นจะต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการประมูลเพื่อแสดงโฆษณา ซึ่งจะตัดสินว่าโฆษณาใดจะปรากฏบน SERP ของ Google และลำดับที่จะปรากฏตามอันดับโฆษณาของโฆษณา
มีกลยุทธ์การเสนอราคามากมายใน Google Ads ทั้งแบบทำด้วยตนเองและแบบอัตโนมัติ แต่ทั้งหมดสามารถจัดกลุ่มเป็น 5 หมวดหมู่ตามเป้าหมายของคุณ
.
7. Negative Keywords หรือ คีย์เวิร์ดเชิงลบ
คีย์เวิร์ดเชิงลบทำงานเหมือนกับคีย์เวิร์ดทั่วไปทุกประการ แต่แทนที่จะเลือกข้อความค้นหาที่คุณต้องการให้โฆษณาแสดง แต่เป็นการเลือกคำที่ไม่ต้องการให้โฆษณาแสดงแทน
แม้ว่าจะมีคำทั่วไปบางคำที่คุณสามารถเพิ่มได้ทันที แต่การเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบมักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปในขณะที่คุณตรวจสอบข้อความค้นหาที่โฆษณาของคุณแสดง และปรับเปลี่ยนตามนั้น คีย์เวิร์ดเชิงลบที่ใช้กันทั่วไปบางคำ ได้แก่ “ฟรี” “ถูก” ชื่อคู่แข่งของคุณ และ “ใคร” “อะไร” “ที่ไหน” “เมื่อไหร่” และ “ทำไม” ที่มักจะส่งสัญญาณการค้นหาข้อมูลซึ่งตรงข้ามกับการค้นหาที่มีเจตนาในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น
.
8. Impressions หรือ การจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
อิมเพรสชั่นคือ การจำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณที่ปรากฏบนหน้าผลการค้นหาหรือภายในเครือข่ายของ Google แต่ละครั้งที่โฆษณาของคุณแสดง จะนับเป็นการแสดงผลหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะมีคนคลิกหรือไม่ก็ตาม
.
9. Click-Through Rate หรือ อัตราการคลิกผ่านลิงค์
CTR เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญต่อความสำเร็จของแคมเปญของคุณและวัดอัตราการที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาของคุณ เทียบกับจำนวนครั้งที่มีการดูโฆษณา CTR คำนวณโดยการหารจำนวนผู้ที่คลิกโฆษณาของคุณ
หลักการคิดคือ : CTR = (อัตราการคลิกผ่านลิงค์) / (จำนวนการแสดงผลทั้งหมด)
.
10. Ad Rank หรือ อันดับโฆษณา
สิ่งนี้เป็นตัวกำหนดตำแหน่งของ Google Ads ของคุณ ยิ่งอันดับโฆษณาของคุณสูง ก็จะได้ปรากฏบนหน้าการค้นหาของ Google สูงขึ้น และผู้คนจะเห็นโฆษณาของคุณมากขึ้น ซึ่งพิจารณาจากการเสนอราคาสูงสุด (จำนวนเงินสูงสุดที่ผู้โฆษณายินดีจ่ายเพื่อให้ผู้ใช้คลิกที่โฆษณา) และคะแนนคุณภาพของโฆษณา
.
11. Quality Score หรือ คะแนนคุณภาพของโฆษณา
เป็นวิธีของ Google ในการ “ให้คะแนน” โฆษณาของคุณเพื่อกำหนดว่าควรจัดอันดับอย่างไรในเครื่องมือการค้นหา ยิ่งอันดับคะแนนของคุณสูง ตำแหน่งโฆษณาของคุณก็จะยิ่งสูงขึ้น ในขณะที่คะแนนคุณภาพต่ำทำให้ได้รับการแสดงผลน้อยลงและมีโอกาสได้รับ Conversion น้อยลง
.
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: โฆษณาของคุณสามารถอยู่ในอันดับที่ดีกว่าโฆษณาของเจ้าอื่นที่จ่ายมากกว่าคุณ ถ้าคะแนนคุณภาพของคุณดีกว่าของพวกเขา คะแนนคุณภาพขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แม้ว่า Google จะไม่เปิดเผยว่าแต่ละปัจจัยมีอิทธิพลต่อคะแนนคุณภาพมากน้อยเพียงใด แต่ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าอัตราการคลิกผ่านลิงค์ (CTR) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
• อัตราการคลิกผ่านลิงค์ (CTR)
• คีย์เวิร์ดมีความเกี่ยวข้องกับโฆษณา
• คุณภาพของลิงค์ที่คุณลงนั้นเกี่ยวข้องกับโฆษณาและมีคุณภาพสูง
• ข้อความในโฆษณา ต้องมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนค้นหาในเรื่องนั้นๆ
• ประสิทธิภาพของบัญชี Google Ads ที่ผ่านมาว่าดีมากน้อยอย่างไร
เกาะติดข่าวสารการตลาดออนไลน์ เทคนิคการโปรโมทโฆษณา
แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @ajlink ที่นี่
Fanpage : Aj Link
ที่มา : TakeFlyte